วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

21 มีนาคม 2560 + 相槌 (続編)

สวัสดีครับ ในวันอังคารที่ผ่านมาก็เรียนตามปกติ ในคาบนี้ได้เรียนเพิ่มเกี่ยวกับ 誤用 หรือการใช้ผิด สมัยก่อนผู้สอนนิยมสอนเพื่อไม่ให้ผู้เรียนทำผิด ใช้ผิดเลย สอนให้ระวังมากเสียจนผู้เรียนหลีกเลี่ยงการใช้ ต่อมามีคนกล่าวไว้ว่า การทำผิดบ่อยๆ แล้วย้อนกลับมาดูจะเป็นการเรียนรู้ และมีคนเห็นด้วย จึงเกิดศาสตร์เฉพาะทางขึ้นมาคือ 誤用分析 (error analysis) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับการใช้ผิด ทำผิดโดยเฉพาะ
จากนั้นก็มีคีย์เวิร์ดโผล่มาใหม่อีก 4 คำ ได้แก่
縦断的研究
横断的研究
母語干渉
過剰般化

縦断的研究 กับ横断的研究 เป็นวิธีการวิจัยรูปแบบหนึ่ง คนส่วนใหญ่นิยมแบบ横断的研究เพราะทำได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน
縦断的研究 คือ การวิจัยโดยเลือกเป้าหมายเพียงไม่กี่เป้าหมาย และติดตามศึกษาเป้าหมายนั้นในระยะเวลาที่ยาว เช่น การศึกษาพัฒนาการทางการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยของนาย ก (ตัวอย่างนี้ก็ต้องทำตั้งแต่นาย ก เข้าเรียนชั้นปี 1 และเก็บข้อมูลเรื่อยๆจนเรียนจบ) ซึ่งใช้เวลาในการทำมาก แต่ผลวิจัยที่ได้จะมีความเที่ยงตรงและแม่นยำมากกว่า
横断的研究 คือ การวิจัยโดยเลือกกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก ทำวิจัยในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ไม่นานมาก และนำผลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อหาข้อสรุป เช่น พฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้สูงอายุในประเทศไทย (อันนี้ก็จะเลือกจำนวนกลุ่มเป้าหมายว่าจะทำวิจัยกับคนจำนวนกี่คน กำหนดระยะเวลาเช่น 1 อาทิตย์ 1เดือน เป็นต้น จากนั้นก็เอาผลมาเฉลี่ยแล้ววิเคราะห์เพื่อสรุป) เพราะใช้เวลาไม่นานเหมือนกับการวิจัยแบบข้างบน จึงนิยมทำมากกว่า แต่มีข้อเสียคือผลวิจัยที่ได้อาจจะไม่มีความถูกต้องมากเท่าแบบบน
อันต่อมาคือ 母語干渉 แปลเป็นภาษาไทยคือ การแทรกแซงของภาษาแม่ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในผู้เรียนภาษาต่างประเทศ สาเหตุมาจากการยึดติดกับภาษาแม่ ทำให้การเรียนภาษาที่สองและสามต้องมองในมุมมองของภาษาแม่ เช่น การพูดขอบคุณของคนไทยกับภาษาญี่ปุ่น กล่าวคือ คนไทยนิยมพูดขอบคุณกันมาก เช่น เวลาฝากงานให้อาจารย์ช่วยดู หรือขอให้อาจารย์ช่วยงานบางอย่าง พออาจารย์ตอบตกลงว่าจะช่วย แต่ยังไม่ได้ทำจะพูดว่า ขอบคุณ ในขณะที่คนญี่ปุ่นจะพูดว่า よろしくお願いします ทำให้ผู้เรียนคนไทยนิยมพูด ありがとう ในบริบทนั้นมากกว่า (กรณีที่อาจารย์ญี่ปุ่นเคยเล่าให้ฟังครับ) เป็นต้น
สุดท้ายคือ 過剰般化 (overgeneralization) คือการใช้มากเกินความจำเป็น ตัวอย่างเช่น การผันกริยาเป็นテ形(連用形)ในผู้เรียนต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ผู้สอนมักจะบอกว่า 書く เวลาลงท้ายด้วย ต้องเปลี่ยนเป็น แล้วเติม ทำให้ผู้เรียนนำไปใช้กับคำทุกคำที่อยู่ในกฎเดียวกัน รวมถึง 行く ด้วย แทนที่จะเป็น 行って กลายเป็น 行いて (ตัวอย่างที่พี่คนหนึ่งยกมาในห้อง) เป็นต้น
จากนั้นก็วกกลับมาที่เรื่อง 相槌 ต่อจากการบ้านที่ไปฟังมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว หลายคนสรุปคล้ายๆกันว่า 相槌 นิยมใช้หลังประโยคที่มี ね、よ หรือประโยคนั้นจบความแล้ว ไม่พูดมั่วซั่ว ทำให้ฟังดูแล้วรื่นหู ไม่น่ารำคาญเกินไป และวันนี้อาจารย์ก็ได้ยก 相槌 ที่ไม่ดีขึ้นมา คือ そう(なん)ですか、それはいいですね เหตุเพราะผู้พูดไม่สามารถหาเรื่องคุยต่อได้ เหมือนเป็นการตัดบทเลย ลองเทียบจากตัวอย่าง 1 ตัวอย่างนี้ดูครับ

Ex 1                                                                                                        Ex2
A : 昨日は新しい車、買ったんだ!                                               A : 昨日は新しい車、買ったんだ!
B : そうですか。                                                                          B : へぇ?車?

อาจจะไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีเท่าไหร่ (เพราะคิดเองสดๆเลย555) แต่เมื่อลองเทียบกันจะเห็นได้ว่า Ex2 ผู้พูดสามารถพูดเกี่ยวกับเรื่องรถต่อได้อีก เช่น ใช่ รถสปอร์ตสีแดงด้วย อยากได้มานานแล้ว ฯลฯ ขณะที่ Ex1 ไม่มีจุดที่ให้พูดต่อได้
                ในคาบสุดท้ายของการเรียนวิชานี้จะมีการพรีเซนต์งานด้วย อาจารย์เลยเอาคลิปการพรีเซนต์มาให้ดู 2 คลิป คือ การพรีเซนต์ iPhone ของ สตีฟ จ๊อบส์ กับการพรีเซนต์ (เรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว มันไม่น่าจดจำขนาดนั้น=w=) ของคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตัวอย่างการพรีเซนต์ที่ดี
https://www.youtube.com/watch?v=cVR7GK4ViUw
                แล้วก็เข้าสู่กิจกรรมวันนี้ครับ  เล่าเรื่องคล้ายๆของเดิม แต่เน้นเรื่องการใช้ 相槌แทนและเปลี่ยนเป็นเรื่อง 飛行機 กับ 秘密 ครับ  คนที่เป็นผู้ฟังจะเป็นคนอัดเสียงเพื่อฟังว่าตัวเองใช้ 相槌 อะไรไปบ้าง ผมเป็นคนฟังเรื่อง秘密 และเล่า 飛行機 ครับ (ผมอัดไว้แต่ 秘密 เพราะ 飛行機 เพื่อนเป็นคนอัดครับ เพราะฉะนั้นผมขอลงแค่ 秘密 นะครับ)
 っと、このことはすごく面白いです。〈はい〉えっと、ええとー、ある女性はすごく美人ですが、実は、実は、彼女はええと、整形、整形手術を受けました。〈へー、整形?〉整形〈手術?〉はい、を受けました。〈うん〉はい、そこで、今、彼女はすごく綺麗です。〈へー〉はい、ええと、それに、彼女は、ええと、恋人、すごく、ええと、素敵で、〈うん〉格好いい彼氏がいます。〈うん〉はい、でも、ある日、ええと、その彼女は、ええと、彼氏に、ええと、前、ええと、整形手術を受ける前の写真を〈笑〉見られました。笑〈へー〉はい、そこで、彼女は、ええと、彼氏が、ええと、いや、私が嫌になるかと気にする。〈うん〉でも、ええと、意外に彼氏は「いいですよ」。「実は」、ええと、「僕も」。そして、〈笑〉こうする、ええと、髪を〈なんか、自分もウィッグってこと?〉はい、自分もウィッグをする、ええと、「実は僕も」こうする。〈笑い〉はい。笑。髪は全然ないです。〈笑〉、はい、これ、以上です。〈はい〉
                ตรงที่คาดเหลืองไว้คือ 相槌 ที่ผมพูดครับ อาจจะมีแปลกๆบ้าง เช่น整形、整形手術を受けました。〈へー、整形?〉整形〈手術?〉はい、を受けました。ตอนพูดผมไม่รู้สึกว่ามันแปลกอะไร แต่พอมาอ่านแล้วมันรู้สึกขัดมาก ไม่รู้อะไรดลใจให้พูดแบบนี้ 5555 ถ้าตีความว่าคือการตรวจสอบความเข้าใจก็คงจะได้ แต่ดูบริบทแล้วผู้พูดไม่ได้อธิบายความหมายให้ฟังเลยไม่น่าใช่
                หลักๆก็เป็น 相槌 ทั่วไปครับ มีหัวเราะด้วยจากคราวฟังวิทยุแล้วจัดว่าเป็น 相槌 เหมือนกัน อาจารย์บอกว่าคนญี่ปุ่นนิยมเปลี่ยนรูปสุภาพ ปกติตอนช่วงต้น ผมก็มีนะ แต่ตอนท้ายก็มีด้วยนี่สิ แต่ก็พอโอเค เพราะทั้งเรื่องเป็นรูปปกติหมด ยังดี
           นอกจากนี้ก็มีการพูดแบบคาดการณ์ หรือบางคนอาจจะมองว่าคือการตรวจสอบความถูกต้องก็ได้ คือ ええと、髪を〈なんか、自分もウィッグってこと?〉はい、自分もウィッグをする ผมจัดให้เป็นแบบคาดการณ์เพราะว่าเพื่อนยังพูดไม่จบประโยค ผมเลยเดาจากบริบทโดยรวม แล้วลองพูดออกมา
                พอมีสติกับการใช้ 相槌 มากขึ้น ก็ใช้เยอะขึ้นครับ มีใช้แบบพื้นฐานทั่วไป เช่น へぇ、うん และมีใช้แบบคิดล่วงหน้าแทนผู้ฟัง เช่น ด้วย รู้สึกว่าตัวเองใช้ได้ดีขึ้น และก็ใช้ตอนที่เพื่อนพูดจบประโยคหรือพูดแล้วหยุดคิดนาน ถือว่าเป็นเรื่องดีที่พัฒนาขึ้น หลังจากนี้ก็อยากพัฒนาให้ใช้ 相槌 ได้คล่องๆ จะได้คุยกับคนญี่ปุ่นได้ดีๆซะที 5555
                สำหรับวันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ครับ ช่วงนี้ร้อนมากๆครับ รักษาสุขภาพกันด้วย อย่าให้หน้ามืดเป็นลมแดดล่ะครับ
Auf wiedersehen!!!

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2560

เช็งเม้งกับโอบ้ง มันต่างกันยังไง!? (ฉบับย่อมากๆ)

สวัสดีครับ คราวก่อนๆนู้นที่บอกไว้ว่าจะมาเล่าเรื่องความแตกต่างระหว่างเช็งเม้งกับโอบ้งครับ พอดีอยากเขียนด้วย บวกกับงานที่เกือบจะหมดแล้ว??? เลยพอมีเวลาว่างเขียน

คิดว่าคนญี่ปุ่นหลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ในไทยเนี่ย ชาวไทยเชื้อสายจีนเต็มบ้านเต็มเมืองเลยนะ ไม่เชื่อลองถามเพื่อนคนไทยดูสิ ผมเคยลองถามเพื่อนหลายๆคน เอาแค่ในเอกญี่ปุ่นก็หลายสิบคนแล้วครับ 555 บ้านผมก็เป็นหนึ่งในนั้นดังนั้นก็จะคุ้นเคยกับพวกพิธีกรรมของจีน เพราะที่บ้านทำมาตลอดครับ ส่วนของทางญี่ปุ่นผมไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเพราะไม่เคยสัมผัส มีรู้ผ่านหนังและอนิเมะบ้าง แต่เห็นแค่ภาพรวมครับ ถ้าได้ไปญี่ปุ่นก็อยากลองไปเข้าร่วมพิธีต่างๆของทางนั้นดูครับ และถ้ามีเวลาว่างก็อยากศึกษาเพิ่มเติมดู

ข้อมูลที่นำมาใช้ไม่ค่อยลึกเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเพราะผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพิธีโอบ้งมากนัก อย่างที่บอกไปว่าเคยเห็นผ่านๆจากในอนิเมะหรือหนังเท่านั้น และพิธีเช็งเม้งถ้าให้ลงลึกมันจะละเอียดมากๆจนผมว่ามันแอบน่าเบื่อไปหน่อย ทำแค่ผิวๆ เลยออกมาสั้นมากเลย ถ้ามีข้อมูลผิดพลาดตรงไหนก็ต้องขออภัยมา ที่นี้ด้วยครับ

ก่อนอื่นทั้งสองอย่างคืออะไร เช็งเม้งที่คนจีนแต้จิ๋วภาษาญี่ปุ่นเรียกแต้จิ๋วว่า潮州〉เรียกกันคือเทศกาลทำพิธีไหว้บรรพบุรุษ ถ้าเทียบกับ お盆 ของญี่ปุ่นก็คงเหมือนกัน เป็นเทศกาลทำความเคารพบรรพบุรุษที่จากไป ฟังดูแล้วเหมือนกันมาก แต่เนื้อหาภายใน พิธีกรรม อื่นๆนั้นต่างกันมากทีเดียวครับ

ก่อนอื่นก็เรื่องวันที่จัดพิธี เช็งเม้งมักจะตรงกับวันที่ 4 เมษายนของทุกปี (บางปีก็ 5 เมษายน) แต่จะมีระยะเวลาให้ไปทำพิธีได้ก่อนถึงวันนั้นประมาณ 15 วัน กล่าวคือ ประมาณวันที่ 20 - 21 มีนาคมก็เริ่มเดินทางไปทำพิธีกรรมที่สุสานของครอบครัวตัวเองได้แล้ว ขณะที่โอบ้งญี่ปุ่นจะตรงกับเดือนสิงหาคมตั้งแต่วันที่ 13 – 15 เป็นระยะเวลา 3 วัน (บางทีก็ถึงวันที่ 16 )
ในด้านจุดประสงค์ของพิธี แน่นอนว่าทั้งสองพิธีมีขึ้นเพื่อแสดงความกตัญญู ความเคารพต่อบรรพบุรุษ แต่ดูต่างไปนิดนึงคือ เช็งเม้งมีขึ้นเพื่อรวมญาติที่ห่างหายกันไปนานให้กลับมาเจอกัน เวลาไปเช็งเม้งทีก็จะเจอญาติที่ไม่คุ้นหน้าเยอะมากๆ ส่วนโอบ้งอีกจุดประสงค์นึงคือให้วิญญาณได้พักผ่อนก่อนกลับไปยังภพของตัวเอง


ด้านสถานที่ เช็งเม้งจะจัดที่สุสาน หรือ วัดที่มีสุสานครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ต่างจังหวัด สถานที่มักอยู่ติดหรือใกล้เขา โดยมีภูเขาอยู่ข้างหลังและมีแม่น้ำไหลผ่าน ตามความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยของชาวจีน มีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งไม่ดี ส่วนโอบ้งจะจัดพิธีแสดงความเคารพบรรพบุรุษที่บ้าน และมีงานเทศกาลที่วัด มีการรำไปรอบๆชั้นที่สร้างไว้สำหรับตีกลอง ค่อนข้างครื้นเครง สนุกสนานกว่าเช็งเม้งครับ



ของไหว้นั้นมีเหมือนกันทั้งคู่ เช็งเม้งใช้ค่อนข้างเยอะ ตามที่บรรพบุรุษทำกันมาต้องมีเนื้อสัตว์ ผลไม้ ขนมหวาน รวมกันเยอะมากๆ ชนิดที่ว่าเอาไปแจกคนได้ทั้งหมู่บ้านเลย ส่วนของทางโอบ้งนี่ผมไม่แน่ใจ แต่ถ้าคิดจากจุดที่ว่าจัดที่บ้านหน้าตู้บรรพบุรุษแล้วของไม่น่าจะเยอะเท่าเช็งเม้งครับ

ที่มา : http://modchang.namjai.cc/e163967.html

ด้านพิธีกรรม เช็งเม้งจะต้องเตรียมของไหว้ไปไหว้ตามธรรมเนียม ก่อนจะไหว้ที่สุสานครอบครัว ก็ต้องไปไหว้เจ้าที่ก่อน ของไหว้ต้องเตรียมแยกไปจากที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษ ของไหว้จะน้อยกว่า นอกจากนี้จะมีการทำความสะอาดและตกแต่งสุสานให้สวยงามครับ ส่วนโอบ้งจะมีการจุดไฟที่เรียกว่า มุคะเอะบิ迎え火 เพื่อให้วิญญาณเดินทางไปกลับได้อย่างปลอดภัย ไม่หลงทาง พอทำพิธีต่างๆ หมดช่วงโอบ้งแล้วก็จะส่งวิญญาณกลับด้วย 迎え火 เหมือนเดิม สังเกตว่าเช็งเม้งจะเน้นไปทางการเซ่นไหว้ของเสียมากกว่า โอบ้งโดยรวมจะมีหลายขั้นตอนผสมๆกันครับ ไม่ได้เน้นไปที่การเซ่นไหว้
ภาพรวมเมื่อสรุปออกมา เช็งเม้งของทางจีนเป็นพิธีที่เน้นการเซ่นไหว้ ได้กลับมาเจอญาติครอบครัวที่ห่างไปนาน ขณะที่โอบ้งของทางญี่ปุ่นจะเน้นความสนุกสนานมากกว่าเพื่อให้วิญญาณได้ใช้ชีวิตในโลกนี้อย่างสนุกสนานก่อนกลับ และตัวพิธีกรรมค่อนข้างเป็นส่วนตัวกว่า

ศัพท์
供え物 (そなえもの)ของ(เซ่น)ไหว้
迎え火 (むかえび)การก่อกองไฟเพื่อรับ – ส่งวิญญาณ
精霊馬 (しょうりょううま) อันนี้ไม่ได้พูดถึงในบล็อกข้างบนครับ แต่น่าสนใจดีเลยเอามาครับ เป็นชื่อของแตงกวาหรือมะเขือม่วงที่เสียบตะเกียบเข้าไปเป็นขา เชื่อกันว่าเป็นพาหนะที่คนตายใช้เดินทางกลับมาโลกนี้ครับ

ที่มา : http://modchang.namjai.cc/e163967.html

 ก็จบกันไปแล้วกับการเปรียบเทียบเช็งเม้งกับโอบ้งฉบับย่อ(มาก)ๆ เป็นยังไงกันบ้างครับ ผมว่าน่าสนใจมากเลย โดยเฉพาะของทางญี่ปุ่นที่ออกไปทางงานรื่นเริง วันนี้ผมขอลาไปแค่นี้ครับ สวัสดีครับ (ปิดกล่อง)

ที่มา : https://media.giphy.com/media/xUA7aWzxzNwitkQGVa/giphy.gif


ที่มา

จิตรา ก่อนันทเกียรติ.  (2003). ความรู้เรื่องจีนจากผู้เฒ่า. กรุงเทพฯ. ดอกหญ้า.

จิตรา ก่อนันทเกียรติ.  (2003). ธรรมเนียมจีน มีเหมือน มีต่าง มีแปลก. กรุงเทพฯ. อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง

จำกัด มหาชน.

สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่นในพระบรมราชูปถัมภ์. (2012). お盆祭り (Obon Matsuri) เทศกาลโอบ้ง.

เข้าถึงได้จาก : http://www.ojsat.or.th/main/now-japan-how-about/634--

obon-matsuri-. 14/4/2560.

Namchan. (2015). เทศกาลโอบ้ง. เข้าถึงได้จาก http://modchang.namjai.cc/
e163967.html. 14/4/2560.

วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2560

相槌 あいづち Aizuchi ไอ(I)สู้จิ XP

 สวัสดีครับ วันนี้กลับมาอีกครั้งต่อจากคาบเรียนในห้อง เรื่อง 相槌(あいづち)ครับ
相槌ภาษาอังกฤษเรียกว่า backchannel (ถ้าไม่ได้เรียนหรือศึกษาลึกลงไปมาก คงไม่เคยเห็นคำนี้) คือสิ่งที่ใช้โต้ตอบกับผู้พูดอีกคน เพื่อแสดงว่าเรากำลังสนใจฟังที่เขาพูดอยู่ ตัวอย่างเช่น 昨日はアヴェンジャーを見に行ったんだ。(へー) ในวงเล็บคือ 相槌ครับ นอกจากนี้ยังได้แก่ はい、ええ、ふーん、あー、そうですか、そっか、そうですね、そうね และอื่นๆอีกมากมายครับ แต่ละตัวก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป เช่น はい、ええ จะแสดงว่าผู้ฟังรับรู้สารนั้นเฉยๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ขณะที่ へー、ふーん จะแสดงความประหลาดใจนิดๆ เป็นต้น เวลาพูดยังต้องคำนึงถึงระดับภาษากับสภาพแวดล้อมด้วยนะครับ เช่น คุยกับเพื่อนมักจะใช้ うん มากกว่า ขณะที่ はい จะแสดงความสุภาพมากกว่า
相槌นี้พบในสังคมญี่ปุ่นเยอะมากจนเป็นเรื่องปกติครับ สำหรับคนต่างชาติอาจจะไม่ค่อยคุ้นชินมาก เพราะส่วนใหญ่จะไม่ค่อยนิยมพูด 相槌 กัน อย่างผมคนไทยเองให้ไปพูด 相槌 แบบคนญี่ปุ่นก็รู้สึกไม่กล้าพูด เพราะไม่ชินที่เราพูดแทรกระหว่างคนอื่นกำลังพูด คนฝรั่งที่เคยเจอมา(อาจารย์) ก็ไม่เคยได้ยินแกพูดคำที่เป็นประเภท 相槌 เลยสักครั้ง
相槌 นี้อาจารย์ก็ให้ฝึกใช้หลายรอบมาก โดยเฉพาะในวิชาสนทนาครับ แต่ก็ยังไม่ชินอยู่ดี ครั้งนี้ในคาบภาษาศาสตร์ประยุกต์อาจารย์เลยให้ไปลองฟังรายการวิทยุของ TBS ดูครับ แล้วสังเกตว่าเขาใช้ 相槌 กันยังไง รายการวิทยุชื่อว่า 安住紳一郎と日曜天国 (Azumi Shin’ichirō to nichiyō tenkoku) ครับ เป็นรายการคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ฟังทางบ้านส่งไป ผมเลือกมา 2 ตอนครับคือ「英語と私―native→negative― กับ 「必死に走った話―農道を牛が走ってきた話―」
「英語と私―native→negative―จะเป็นเรื่องของผู้ที่ส่งข้อความมากับภาษาอังกฤษครับ มีหลายอันที่ตลกดี เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปทำงานที่ฝรั่งเศสแล้วได้แฟนเป็นคนอังกฤษ แล้วก็ต้องแสดงความรักให้สามีคนอังกฤษฟังทุกเช้า
เรื่องส่วนใหญ่ค่อนข้างตลก เพราะฉะนั้นเสียงหัวเราะของผู้หญิงซึ่งเป็นคนฟังจะเยอะมาก เสียงหัวเราะนี่ก็อาจจะเป็น 相槌 ได้ละมั้ง ถ้าเราไม่ฟังเขา เราจะหัวเราะได้ยังไงเนอะ 555
ในตอนนึงมีหลายเรื่องมากครับ พอดีอาจารย์ช่วยถอดให้ตอนนึง เลยขอยกมาตรงนี้เลยละกันครับ (ขออนุญาตนะครับ) 08290956อันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียน ไม่รู้ใช่ประสบการณ์คนเล่าหรือเปล่า อาจารย์คนสอนพูดผิดจาก native เป็น negative
 中野区のくまぽんさん30歳女性の方、ありがとうございます〈ありがとうございます〉、高校時代の教科担任の先生が、英会話教室に通っていました、〈はい〉その、教室での題材で、このスクールの良いところをアピールしたCMをみんなで作りましょう、となり、生徒それぞれがインタビュー形式で話したそうです、へー、〈ふーん〉面白い取り組みですね、その先生は、ここのスクールは、先生がみなネイティヴで、私もどんどんネイティヴな英語ができるようになります、と、ひたすらネイティヴ、ネイティヴ、と言っていたそうですが、〈はい〉ネイティヴ、て、何ですか、〈あー〉あのー、〈英語育ちの、みたいな、あー〉そうですよね、〈母国語が〉そうですよね〈英語〉、えーえー、ひたすら、ネイティヴ、ネイティヴ、と言っていたそうですが、でき上った映像を見てびっくり、ネイティヴ、としゃべっていたはずのところを、〈あ〉先生はすべてネガティヴ、と言ってしまって{}いたそうです、ネガティヴ{}はきついね、{}否定的なっていうか、〈そうですね{笑いながら}〉えー、〈{笑}、あら〉ここのスクールは、先生がみなネガティヴで、〈{笑}〉私もどんどんネガティヴな英語ができるようになります{笑いながら}、〈{笑}〉実際に生徒の〈{笑}〉インタビューをもとに宣伝映像を作る予定だったそうですが〈{笑}〉、もちろんネガティヴ連呼の部分は採用されなかった〈{笑}〉そうです、でも、みな後ろ向きな英会話教室というのもちょっと見てみたいです〈{笑}〉って、ネガティヴね、〈{笑}、おもしろーい〉まーポジティヴネガティヴね、〈そうですねー〉ナイティヴネガティヴ確かにねー〈{笑}〉そうですねー、〈{笑}〉気持ちはわかりますねー〈はいー、{笑}〉
ตัวที่ทำสีเอาไว้ในวงเล็บคือ 相槌 ของผู้หญิงที่นั่งฟังครับ เท่าที่สังเกตในตอนนี้ เห็นได้ว่าใช้ 相槌 แบบสุภาพเกือบหมดครับ ส่วนที่ไม่สุภาพน่าจะเป็นการพูดกับตัวเองมากกว่า เช่น おもしろい สิ่งแรกที่เห็นชัดๆคือ {} ครับ เต็มไปหมดเลย แสดงว่าการหัวเราะก็เป็น 相槌 รูปแบบหนึ่ง (ที่ผมคิดก็ถูกสินะ555) นอกจาก 相槌 แบบที่ผมยกไปข้างบนที่มีคำเฉพาะเลย ยังมีแบบอื่นอีก เช่น การช่วยอีกฝ่าย ในตัวอย่างผู้พูดที่จะอธิบายคำว่า native แต่ทำท่าเหมือนคิดไม่ออก ผู้หญิงที่เป็นผู้ฟังก็เสริมเข้าไปว่า 「英語育ちの、みたいな」。「母国語が」、「英語」 ครับ
การแทรก 相槌 พอลองสังเกตดีๆจะเห็นว่า เขามักจะแทรกตอนที่อีกฝ่ายพูด 1 เนื้อความจบ เช่น その、教室での題材で、このスクールの良いところをアピールしたCMをみんなで作りましょう、となり、生徒それぞれがインタビュー形式で話したそうです、へー、ถ้าเป็นผมล่ะก็ ผมคงแทรกตั้งแต่ となり、 ไปแล้ว คงทำให้รำคาญมากแน่ๆ เพราะจะเยอะจัด อีกอันนึงที่น่าสนใจคืออันนี้ครับ先生はすべてネガティヴ、と言ってしまって{}いたそうですทำไมมา {} ตรงนี้ล่ะ มันยังไม่จบประโยคนี่ ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าความครบอยู่นะครับ สังคมญี่ปุ่นมักจะพูดอะไรไม่จบประโยคเยอะ ส่วนใหญ่จะเข้าใจได้เอง เช่นเวลาปฏิเสธก็ すみません、ちょっと คนต่างชาติก็คงคิดในใจ ทำไมไปไม่ได้ล่ะ บอกมาสิแต่คนญี่ปุ่นเขาเข้าใจว่าไปไม่ได้ ไม่ค่อยถามเหตุผล ถ้าเอาหลักนั้นมาใช้ตรงนี้ 言ってしまって ก็เข้าใจนะครับว่า เผลอพูด เขาก็เลยแทรก 相槌 ได้พอได้สังเกตวิธีการแทรก 相槌 ของเขา ก็เข้าใจมากขึ้น แต่ให้ทำเองมันก็ยากอยู่สำหรับคนไม่เคยใช้
ส่วนอีกตอนหนึ่งคือ 「必死に走った話―農道を牛が走ってきた話―」เทียบกับตอนก่อนดูไม่สนุกเท่า แต่ก็ยังสนุกครับ5555 (คืออะไร!!!?)  อันนี้ก็เหมือนเดิมครับ อาจารย์ถอดไว้แล้ว ขอนำมาใช้เลยนะครับ04410558
 電話でいただきました、埼玉県川口市、きゅーぽらのこまこさん、72歳、女性の方ですありがとうございます〈ありがとうございます〉、もう半世紀前の話でね、すみません、〈{笑}〉72歳の私が、郡山で女子高校生だった頃のことですよ、〈えー〉農道を歩いていたら、前からおっきな牛柄の牛がね、どどどどどどどーって一匹すごい勢いで走ってくるんです、〈ほう〉牛柄の牛っていいね、〈{笑}〉でもほんとに、〈ね〉うん、牛柄の牛だったんだろうね、〈そうだったんですねー、へー〉どどどどーって一匹すごい勢いで走ってくるんです、〈あらー〉びっくりして慌てて必死で逃げたら、目の前に民家があったのですぐ軒下に飛び込んだんです、〈あ〉中から、どうしたのと出てきたおばあさんに、前から牛が、牛が、と訴えたところ、おばあさんは平然として、あんらーもうこー帰ってきただかー、これ家の牛だわい、ってそこん家の牛が散歩から帰ってきただけだー〈{笑}〉そうですが、もう生きた心地がしませんでしたよ、ってゆう、〈{笑}、自分で行ってこれるんだー〉ね、〈ねー〉牛ねー、あの賢い、ようですからねー、〈ねー〉えー、怖いねでも一本道の農道歩いていたら〈そうですね〉向こうからね、散歩帰りの牛がね、どー〈どどどどど〉ってきたらね〈いやー〉〈へー〉はー、面白いですね、
อันนี้คล้ายๆกับอันบนคือ จบความ 1 ความแล้วถึงคั่น อีกอันที่เพิ่มมาใหม่น่าจะเป็นการใช้คำที่ฝ่ายพูดเคยพูดออกมาแล้ว คือ散歩帰りの牛がね、どー〈どどどどど〉ってきたらね คำว่า どどどどどผู้พูดเคยเล่าไปแล้วรอบนึงตรงどどどどーって一匹すごい勢いで走ってくるんですพอผู้พูดจะพูดซ้ำอีกครั้ง ผู้พูดซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นคำว่าอะไร เลยพูดออกไปแทน
สรุปแล้วคือ 相槌 นอกจากคำพวก はい、ええ、ふーん、そうですか ยังมีการหัวเราะ การช่วยเหลือ การนำคำที่ได้ยินไปแล้วกลับมาใช้ครับ และนิยมใช้ 相槌 เมื่อผู้พูดพูดประโยคจบ 1 ใจความไปแล้ว
นอกจากที่เจอจากการสังเกตในรายการวิทยุ อีกแบบที่ผมเคยได้ยินมาคือการเอาคำในประโยคที่พูดใช้มาถามซ้ำครับ อาจจะเอามาทั้งหมดก็ได้ครับ เช่น 昨日は水を30リットルも飲んだ。〈30リットルも!〉เป็นวิธีการที่น่าสนใจดีครับ แต่ต้องเลือกคำดีๆครับ รายการนึงที่ผมเคยดูในห้องเรียนคาบวิชาสนทนา จำชื่อรายการไม่ได้แล้ว เขาก็ทดลองใช้แต่เลือกคำผิดแล้วมันฮาไปเลยครับ 昨日、二日酔いでずっと寝てた。〈二日酔い!〉คำตอบที่ถูกคือซ้ำทั้งประโยคเลยครับ เป็น  昨日、二日酔いでずっと寝てたの? จะดูดีกว่า แอบยากเหมือนกันนะเนี่ย ต้องเลือกคำดีๆ

วันนี้ผมก็ขอจบของวันนี้เพียงเท่านี้ครับ ไว้ครั้งหน้าจะกลับมาใหม่ครับ สุขสันต์วันปีใหม่ไทยครับ เที่ยวให้สนุก