สวัสดีครับ หลังจากห่างจากเรื่องกิจกรรมในห้องเรียนมาสักพัก วันนี้ผมจะกลับมาเล่ากิจกรรมในคาบวันอังคารที่ผ่านมาครับ
วันนี้ทวนเรื่อง Input กับ Output จากคาบก่อนหน้า และก็ได้คำว่า Intake มาเพิ่มครับ ตามความหมายภาษาอังกฤษจากพจนานุกรมของ Cambridge เขียนไว้ว่า
วันนี้ทวนเรื่อง Input กับ Output จากคาบก่อนหน้า และก็ได้คำว่า Intake มาเพิ่มครับ ตามความหมายภาษาอังกฤษจากพจนานุกรมของ Cambridge เขียนไว้ว่า
"an act of taking in something, especially breathing"
สำหรับในเรื่องนี้ Intake คือการดูดซึม รับเอาความรู้เข้าไปโดยต้องรู้และเข้าใจสิ่งๆนั้นด้วยครับ ใน Intake นี้ก็มีพูดถึงเรื่อง Shor-term memory กับ Long-term memory ด้วย
Short-term memory คือความจำระยะสั้น ใช้บ่อยมากเวลาต้องทำอะไร ณ ตอนนั้น เช่น พรุ่งนี้จะสอบต้องอ่านหนังสือวันนั้นและจำให้ได้ทั้งหมด คิดว่าทุกคนก็คงเป็นเหมือนกัน 555
ถ้าเราทำอะไรบางอย่างซ้ำกันบ่อยมากๆ ก็จะกลายเป็น Long-term memory ครับ อย่างที่ทุกคนสังเกตได้ เด็กแรกเกิดที่ยังเดินไม่ได้ พอทำซ้ำๆไปเรื่อยๆ เด็กก็เดินได้เองโดยไม่ต้องมีใครมาคอยดู แต่สำหรับบางเรื่องอาจจะยากหน่อย สำหรับผมก็คงเป็นเรื่องอ่านหนังสือ ผมเคยได้ยินมาว่าการทวนหลังเรียนเสร็จจะช่วยให้จำง่ายขึ้น ยิ่งทวนหลายรอบจะจำได้นานขึ้น แต่เท่าที่ลองดูแล้วผลไม่ต่างกันเลยครับ น่าเศร้าเหลือเกิน T^T
ต่อจากนั้นก็ไปที่เรื่อง The Truth of Magic Number 7 ของ George A. Miller เขากล่าวว่าอะไรที่มี 7 อย่างทำให้จำได้ง่าย แต่ Nelson Cowan โต้บอกว่าแค่ 4 นะ ไม่ถึง 7 (https://philpapers.org/rec/COWTMN)
ส่วนผม แค่ 3 ก็เยอะแล้วครับ 5555 แต่มีอันนึงที่จำได้ถึง 10 เพลงเด็กเอ๋ยเด็กดีไงครับ คิดว่าหลายๆคนน่าจะร้องกันได้ครับ 55555
นอกจากนี้อาจารย์ยังเสริมอีกว่า ถ้าจำเป็น chunk จะทำให้จำง่ายขึ้นด้วย chunk คือการจำแบบเป็นกลุ่มก้อน เช่น เบอร์โทรศัพท์ 028421369 มาเป็นแพแบบนี้กว่าจะจำได้ก็คงใช้เวลาพอสมควร แต่ถ้าแบ่งเป็น chunk ล่ะ จะเป็นยังไง
พอแบ่งเป็น chunk เบอร์โทรศัพท์แบบที่คนไทยนิยมแบ่งก็จะได้ตามนี้ครับ 02-842-1369 (มี 3 chunk จำนวนเลขในแต่ละ chunk บวกลบ 3) พอจำเป็นกลุ่มแบบนี้ทำให้ช่วยจำได้ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ ผมว่าวิธีนี้ไปได้สวยเทียบกับข้างบน
เอาล่ะ มาถึงกิจกรรมของวันนี้กันแล้ว วันนี้ผมกับเพื่อนในห้องได้ทำ Story telling ครับ อาจารย์ให้นั่งเป็นคู่หันหน้าเข้าหากัน คนนึงจะหันหลังให้จอโปรเจ็คเตอร์ จากนั้นอาจารย์ก็เปิดภาพการ์ตูน 4 ช่องให้ดูครับ คนที่หันหน้าเข้าหาจอจะต้องเล่าเรื่องจากภาพให้คนที่หันหลังในจอฟัง โดยใช้ภาษาญี่ปุ่น!!! รอบแรกผมเป็นคนหันหลังให้จอครับ ดังนั้นผมเป็นผู้ฟังก่อน ตอนอาจารย์เปิดภาพให้เพื่อนดู หลายๆคนพูดกันว่าไม่เข้าใจ อาจารย์เลยต้องไปกระซิบอธิบายว่ามันคืออะไร ผมก็อยากรู้นะครับ แต่ไม่อยากหันไป5555 รูปที่เพื่อนได้ดูคือรูปนี้ครับ
สรุปแล้วเพื่อนเล่าแนวว่า มีผู้ชาย 2 คนนั่งอยู่ที่โซฟาในล็อบบี้โรงแรม คนนึงอ่านหนังสือพิมพ์ อีกคนนั่งเฉยๆ คนที่นั่งเฉยๆก็มองไปทางชายชาวต่างชาติที่กำลังดูแผนที่อยู่ สักพักชายชาวต่างชาติก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วสบตากัน ชายชาวต่างชาติมีทีท่าว่าจะเดินเข้ามาถามทาง ชายที่นั่งเฉยๆก็กลัว เลยเข้าไปหลบหลังหนังสือพิมพ์ของคนข้างๆ
จากนั้นก็เป็นตาผมเล่าบ้างครับ ผมได้ภาพนี้ครับ
ตอนเห็นครั้งแรกนี่งงเป็นไก่ตาแตกเลยครับ ดูเหมือนทุกคนก็จะอยู่ในสภาพแบบเดียวกัน จนสุดท้ายทุกคนที่เป็นคนเล่าต้องออกไปนอกห้องให้พี่ที่พอเข้าใจกับอาจารย์อธิบายให้ฟังครับ จากนั้นก็กลับมานั่งที่แล้วก็เริ่มเล่าครับ ผมอัดเสียงตอนเล่าเอาไว้ ถอดออกมาได้ความว่า
まずはキャラクターが二人で、犬が一匹います。そして、赤ちゃんが犬に乗りたいと思って、犬に這って、近づこうと思ったんだけど...今、犬は寝ている。でも、その赤ちゃんが近づくと、その犬が起きてしまったので、顔があって、子どもがちょっとびっくりして、でも、犬に乗りたいから、犬の後ろに行くと決めた。でも、その犬は逆方向に向いて、そして、子どもが後ろだと思った方向に向かって、その子どもが犬の後ろのはずのところが着いたら、その前にあったのは犬の顔です。
พอลองถอดออกมาแล้วก็พบว่าต้องแก้เยอะมาก โดยเฉพาะคำช่วย ส่วนแรกที่อธิบายตัวละครก็อธิบายไปแค่สุนัข ไม่ได้พูดถึงเด็ก เลยคิดว่าไม่ดีเท่าไหร่ ตอนเล่าสิ่งที่รู้สึกว่ายากที่สุดคือคำศัพท์ เพราะมีหลายคำที่ไม่คุ้น อย่างเช่น คลาน อ้อม เจอหน้ากัน และมีอีกหลายคำที่นึกไม่ออกเลย เช่น ข้างหลังสุนัข (ด้านหางสุนัข)
เสร็จแล้วอาจารย์ก็แจกชีทตัวอย่างการเล่าเรื่องตาม 2 ภาพที่ได้ดูไปครับ ที่เห็นใช้เยอะสุดคือคำเลียนเสียงครับ ผมคิดว่าพอใช้แล้วเห็นภาพมากขึ้น แต่ประเด็นคือผมใช้ไม่เป็น =w= แล้วก็เจอพวกคำที่ผมพูดไปก่อนหน้า เช่น はいはい ที่ใช้กับการคลานของเด็ก 顔を合わせる、忍び寄る พอได้อ่านแล้วก็คิดในใจว่า ทำไมคำนี้เรานึกไม่ออก ไม่ก็ คำนี่ไม่คุ้นเลย เหมือนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆกับความไม่ฉลาดของตัวเอง 55555
แล้วอาจารย์ก็ให้เล่าใหม่อีกรอบครับ แต่คราวนี้สลับกัน คนที่เล่าเรื่องเด็กให้ไปเล่าเรื่องที่มีคนต่างชาติ คนที่เล่าเรื่องที่มีคนต่างชาติให้มาเล่าเรื่องเด็ก ก่อนหน้าที่จะเล่าอาจารย์ก็ให้ดูชีทที่แจกมาให้ดีครับ แล้วก็เอาไปใช้ประโยชน์ (ไม่ใช่จำทั้งหมดนะครับXD)
รอบนี้อัดเสียงอีกเช่นกัน ถอดได้ความว่า
外国の話をしたいと思います。あるホテルのロビーにソファーがあります。そして、ソファーに男の人が二人座っています。一人は新聞紙を広げて呼んでいる男の人で、もう一人はただくつろいでいる男です。そして、くつろいでいる男が柱のところ外国人っぽい感じのおじさんが経っていて、そのおじさんがカメラを持っていて、地図を見ています。そして、くつろいでいる男はおじさんをじっと見ていると、外国人のおじさんの目と合って、おじさんがちょっと笑顔をして、くつろいでいる男は「え、ヤバイ!近づいて道を聞くかも」って思ってしまって、おじさんがどんどん近づいて、くつろいでいる男はくよくよしていて、英語がうまく話せないから、ここから逃げたいという気持ちで、隣の新聞を読んでいる男の人の間に突っ込んで新聞の後ろを隠れています。その外国人がそれを見ると、びっくりしました。
รอบใหม่นี้เล่าได้ยาวขึ้นเยอะเลย แน่นอนว่าก็ยังผิดไวยากรณ์เหมือนเดิมครับ =w= แต่มีใช้คำจากในชีทตัวอย่างเพิ่มขึ้น (ใช้ Short-term memory จำครับ 5555) แล้วก็ใส่คำเลียนเสียงเข้าไปนิดนึง ผมคิดว่าเนื้อเรื่องดูมีสีสันมากกว่าอันก่อนครับ แต่สื่อความได้ถูกต้องมั้ยนี่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ 5555
หลังจากได้ฝึกเล่าเรื่องแล้ว ก็รู้จุดสำคัญที่ควรใช้เพิ่มขึ้นเยอะเลยครับ หลักๆเช่นการอธิบายเหตุการณ์ มีตัวละครอะไรบ้าง กำลังทำอะไร ใส่ความคิด ความรู้สึกตัวละครเข้าไป และเพื่อเพิ่มอรรถรสของเรื่องการเลือกคำก็มีความสำคัญ อันที่มีผลอย่างมากคือคำเลียนเสียงครับ เพราะมันทำให้เห็นภาพค่อนข้างชัดทีเดียว
สำหรับวันนี้ก็มีแค่นี้ครับ ขอบคุณทุกท่านที่ตั้งใจอ่านนะครับ มีผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย คราวหน้าจะเป็นเรื่องอะไรนั้น รอลุ้นกันนะครับ สวัสดีครับ


เล่าได้ยาวขึ้นจริงๆ เรื่องคนต่างชาติ ลองใช้ 〜てしまいました บางที่ เช่น 隠れてしまいました จะยิ่งได้รสชาติมากขึ้นไหมคะ
ตอบลบ